ประเดิมศักราชใหม่ต้อนรับปีไก่ เทคโนโลยียังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ปีที่ ผ่านไป เราได้เห็นอะไรใหม่อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน อย่างกระแสคลั่งไคล้ “โปเกมอน โก” เกมที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality หลอมรวมโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไปจนถึง Internet of Things (IoT) ที่เติบโต กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้สามารถเชื่อมต่อและสั่งการได้ผ่านอินเตอร์เน็ต
คาดการณ์กันว่า ในปีระกานี้ จะเป็นปีสำคัญแห่งเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ (Self– Driving Car) หลังจากที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการคิกออฟ เริ่มต้นทดลองกันแล้วหลายค่าย
มีการประเมินกันว่า ภายในปี 2020 จะมีรถยนต์ที่ไม่มีคนขับโลดแล่นอยู่บนท้องถนนมากกว่า 10 ล้านคัน และ 10 ปีจากนั้นคือในปี 2030 รถยนต์ไร้คนขับจะทำยอดขายได้ 15% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด
เริ่มต้นในปีนี้ เชื่อว่าบรรดาวงการเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมรถยนต์ จะเร่งสปีดให้เห็นว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรม รถยนต์ครั้งใหญ่ใกล้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเราอาจมีโอกาสเห็นเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ ออกมาวิ่งบนท้องถนน เหมือนกับรถยนต์ปกติ โดย 2 ค่ายยักษ์ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ หนีไม่พ้น ค่ายเทสล่า (Tesla) และกูเกิล (Google)
สำหรับเทสล่า นาทีนี้คงไม่มีใครจะฮอตเท่าพวกเขาไปได้ ค่ายรถยนต์ยี่ห้อนี้เริ่มต้นจากการพัฒนารถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งระบบ ก่อตั้งโดยกลุ่มวิศวกรใน “ซิลิคอน วัลเล่ย์” ศูนย์กลางนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก
ภารกิจของเทสล่า คือการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อพลังงานยั่งยืนของโลก และอยากพิสูจน์ว่ารถยนต์ไฟฟ้า อาจจะดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง มีพลังแรงบิดที่น่าทึ่งและปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ที่สำคัญ ราคาที่จำหน่ายในสหรัฐฯ เป็นราคาที่คนทั่วไปสามารถซื้อเป็นเจ้าของได้
โดยผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเทสล่า คือ “อีลอน มัสก์” (Elon Musk) ความร้อนแรงของเขาถูกเปรียบเทียบกับ “สตีฟ จ็อบส์” แถมติดทำเนียบเศรษฐีนิตยสารฟอร์บส์ อันดับ 83 ของโลกเมื่อปี 2016
รถรุ่นแรกของเทสล่าถูกเปิดตัวขึ้นเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา ใช้ชื่อว่า Tesla Roadster เป็นรถยนต์ชาร์จไฟผ่านแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน วิ่งได้ด้วยความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยเวลาเพียงแค่ 3.7 วินาที ชาร์จแบตครั้งหนึ่งวิ่งได้ประมาณ 395 กิโลเมตร กลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 30 ประเทศทั่วโลก จนถึงปัจจุบันมีหลายรุ่น หลากแบบ มีทั้งรถสปอร์ตหรู แรง และมีระบบความปลอดภัยสูง
ขณะเดียวกัน เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทสเปซเอ็กซ์ แถมยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัทเพย์พัล ตลอดจนบริษัทอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งเป็นผู้จุดประกายความคิดระบบขนส่งความเร็วสูงที่เรียกว่าไฮเปอร์ลูปและเครื่องบินใบพัดขับเคลื่อนไฟฟ้าเหนือเสียงแบบขึ้นลงทางดิ่ง
ความสำเร็จของเทสล่าเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุของราคาน้ำมันดิบดิ่งเหว และเทสล่าก็ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านั้น
สองสามเดือนที่ผ่านมา เทสล่าประกาศว่า รถยนต์จากค่ายนี้ทุกรุ่น ทุกคันจะมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับขี่ อัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบ (fully-autonomous) พร้อมกับยืนยันว่าระบบนี้จะให้ความปลอดภัยมากกว่ามนุษย์ขับเอง
อีลอน มัสก์ กล่าวว่า รถทุกคันจะมีกล้อง 360 องศา ติดตั้งรอบคัน 8 ตัว พร้อมด้วยเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ซึ่งสามารถตรวจจับวัตถุขนาดเล็กและใหญ่ในระยะไกลกว่าเดิมถึง 2 เท่า ประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น ช่วยให้มองเห็นในสภาพอากาศแม้ฝนตกหนัก มีหมอก และฝุ่นปกคลุม
พลังการประมวลผลที่ดีขึ้นกว่าเดิม 40 เท่า สามารถรองรับการประมวลผลมหาศาลจากกล้องเรดาร์ จีพีเอส เซ็นเซอร์ต่างๆ ช่วยให้รถยนต์เห็นภาพในมุมที่ผู้ขับขี่ไม่มีทางเข้าถึงหรือตาเปล่าของมนุษย์ไม่อาจมองเห็น
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ รถยนต์ของเทสล่ามีระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ หรือ Autopilot ซึ่งต้องอาศัยคนขับคอยควบคุมบังคับพวงมาลัยเป็นหลัก โดยเฉพาะยามฉุกเฉิน
แต่ในปีที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับระบบขับขี่ดังกล่าว จนทำให้ผู้ขับขี่ถึงแก่ชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนอุบัติเหตุดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ภาพพจน์ของเทสล่าสั่นคลอนอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เทสล่ายังคงเดินหน้าพัฒนารถยนต์ไร้คนขับต่อ โดยยืนยันว่ารถไร้คนขับจะพร้อมวิ่งด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เต็มรูปแบบ จากเมืองลอสแอนเจลิสสู่นิวยอร์กภายในปีนี้ ด้วยระบบใหม่ คนขับไม่จำเป็นต้องแตะพวงมาลัยเลยสักนิด และคาดว่าอีก 2 ปีการทดลองจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ นำไปสู่การผลิตเพื่อการพาณิชย์ได้
มาทางฝั่งของกูเกิล ที่ผ่านมาได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบอัจฉริยะขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยตัวเองไปแล้ว โดยผู้โดยสารเพียงแค่กดปุ่มติดเครื่องยนต์ Google Self-Driving Car
กูเกิลบอกว่า เป้าหมายหลักคือต้องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 33,000 คน ต่อปี และหากนับรวมทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากกว่า 1.2 ล้านคน
ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของกูเกิล มีส่วนประกอบที่สำคัญ อาทิ จีพีเอส, เรดาร์, กล้อง และเลเซอร์ เพื่อตรวจจับสิ่งกีดขวางหรือความเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัวได้ 360 องศาแบบเรียลไทม์ จากการนำเอากล้องและเซ็นเซอร์ต่างๆติดตั้งไว้ด้านบนหลังคา
นอกจากตรวจจับสิ่งรอบตัวได้ 360 องศาแล้ว ยังมีรัศมีการตรวจจับไกลถึง 200 เมตร และได้มีการพัฒนาไปจนถึงการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายเลยทีเดียว
กระนั้น สถานการณ์ของกูเกิลก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเทสล่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนขึ้นในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลในครั้งแรก หลังระบบคำนวณพลาด เลี้ยวเปลี่ยนเลนชนกับด้านข้างของรถบัส
ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอูเบอร์, บีเอ็มดับบลิว, วอลโว่, ฟอร์ด และค่ายเมอร์เซเดส เบนซ์ ล้วนแต่มีแผนการที่จะบุกตลาดรถยนต์ไร้คนขับทันทีเมื่อพร้อม
ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับรถไร้คนขับในขณะนี้คือความปลอดภัย รวมทั้งข้อบังคับทางกฎหมายต่างๆที่จะต้องไล่ตามเทคโนโลยีของแต่ละประเทศ รัฐบาลจะสนับสนุนหรือแตะเบรกเทคโนโลยีนี้อย่างไร ยังมีเวลาให้ติดตามกันยาวตลอดทั้งปีนี้
……………………………..
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://goo.gl/0qh97a
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่
https://pakoengineering.com/blog/
Line ID : pakoeng
Mobile: 09-7196-4504
Tel. 0-2041-5092
Fax. 0-2041-5093
E-Mail. sales@blog.pako.co.th