สำหรับมนุษย์เงินเดือน ในการหางานหรือเปลี่ยนงานแต่ละครั้ง หลายท่านอาจจะคิดว่าทำไมมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ซึ่งในขณะเดียวกัน ในมุมของบริษัทที่ต้องการรับคนเข้าทำงานนั้น ก็คิดว่าทำไมการที่จะหาคนเข้าทำงนแต่ละคนมันช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก สรุปแล้วคนหางานก็เยอะ บริษัทที่รับคนทำงานก็แยะ แต่ทั้งสองฝั่งนี้ไม่สามารถจับมาแมทช์เข้าด้วยกันได้ เนื่องจากท่ง 2 ฝ่าย ต่างก็ไม่ได้เข้าใจความต้องการของกันและกันอย่างแท้จริง วันนี้ผู้เขียนจึงขอเล่าแนวทางการสมัครงานจากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา ซึ่งผ่านการเป็นผู้สมัครงาน และผู้รับสมัครมาแล้ว จึงคิดว่าน่าจะพอถ่ายทอดออกมาได้ถึงความต้องการทั่ง 2 มุมมอง โดยในวันนี้จะขอแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังหางานเท่านั้นก่อนนะคะ
ในการสมัครงานในมุมที่ผู้เขียนอยากจะแนะนำจากประสบการณ์การเป็น HR ที่คาดหวังต่อผู้เข้ารับการสัมภาษณ์มีดังนี้
-
เตรียมความพร้อมของตัวเอง
ในที่นี้ผู้เขียนจะเหมารวมทั้งหมดเลย เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเริ่มงานใหม่ อันนี้ขย้ำนะคะ หากจิตใจยังไม่แน่วแน่ต่อการเริ่มงานใหม่จริงๆ ยังไม่ควรไปสมัครงานเล่นๆ นะ ถามตัวเองด้วยว่าคุณพร้อมสำหรับการเริ่มงานใหม่แล้วหรือยัง หรือคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนที่ทำงานใหม่หรือยัง ทั้งนี้รวมไปถึงการเลือกตำแหน่งงานที่จะทำด้วยนะคะ ว่าคุณอยากทำงานอะไร ปัญหานี้ผูเขียนเจอบ่อยกับนักศึกษาจบใหม่ค่ะ ที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าอยากทำงานอะไรกันแน่ แค่อยากหางานแล้วได้งานทำ ได้เงินเดือนดีๆ สุดท้ายก็ไปไม่รอดสักรายค่ะ ทางที่ดีควรจะมุ่งมั่นไปเลยว่า ฉันอยากทำแค่ตำแหน่งงานนี้เท่านั้นนะ พร้อมทั้งหาเหตุผลด้วยว่าทำไมต้องเป็นตำแหน่งนี้ มันมีความรู้สึกพิเศษกับตำแหน่งนี้อย่างไร และที่สำคัญต้องมั่นใจว่าเราจะทำได้ด้วยนะ
-
เตรียมความพร้อมของเอกสารสมัครงาน
เอกสารการสมัครงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่น้อย ถ้าเราตั้งใจสมัครงานแล้ว เตรียมเอกสารไว้เลยค่ะ 5 ชุด 10 ชุด ก็ว่ากันไป จัดชุดไว้ให้พร้อมเลย เวลามีบริษัทไหนเรียกสัมภาษณ์ก็พร้อมที่จะตอบตกลงนัดวัน เวลา ได้ทันที ไม่ใช่ว่าขออะไรก็ไม่มี ไม่ได้เตรียม ลืมหยิบมา ถ้าผู้สัมภาษณ์ขออะไรเราก็มีให้พร้อมทุกอย่างรับประกันว่าอย่างน้อยๆ เค้าก็ต้องเห็นในการเตรียมความพร้อมเรื่องเอกสารบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ
-
เตรียมความพร้อมของ Resume หรือ การลงประวัติสมัครงาน
ว่าด้วยเรื่องของ Resume ก็มีสวนสำคัญอยู่ไม่น้อย เนื่องจาก HR ส่วนใหญ่มักจะเลือกคัดกรองผู้สมัครจาก Resume กันทั้งนัน ดังนั้นการเขียน Resume ที่ดี ต้องมีรูปที่น่าสนใจ (อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความสวยความหล่อนะคะ แต่มันเกี่ยวกับ First Impression ถ้าถ่ายรูปออกมาแล้วหน้าตา ทรงผม ดูรกรุงรัง หน้าบึ้งตึง คิ้วขมวดล่ะก็ Resume ของคุณอาจจะถูกมองข้ามไปเลยก็ได้นะ) เนื้อหาใน Resume ต้องมีความชัดเจน อธิบายเนื้องานที่เคยทำมาได้เป็นอย่างดี ใช้ศัพท์ที่ใครๆ ก็อ่านแล้วเข้าใจ ไม่ใช่มีแต่ศัพท์เฉพาะทางเต็มไปหมด จน HR เองก็งง ว่างานพวกนี้มันเกี่ยวกับงานของเราไหมนี่ ส่วนที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ อาจจะมีคำถามว่า เอ๊ะ แล้วเราจะเอาไปเขียนใน Resume ล่ะ สำหรับนักศึกษาจบใหม่ก็เขียนพวกกิจกรรมระหว่างเรียน Project จบ ที่ฝึกงาน หรืองาน Part time ที่เคยทำมานั่นแหละค่ะ เสร็จแล้วก็ตรวจสอบความถูกต้องของข้อความ ใส่ความมั่นใจไปด้วย แค่นี้ก็เยี่ยมแล้ว
-
เตรียมความพร้อมใน Social
อันนี้เจอบ่อยค่ะ บางทีเราใช้มือถือในการติดต่องาน เวลาบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ ก็มักจะมีการ Add Line อัตโนมัติ หรือมากกว่านั้นก็อาจจะขึ้นในรายการที่คุณอาจรู้จักใน Facebook แล้วบรรดา HR ทั้งหลายก็มักอดใจไม่ได้หรอกค่่ะ ที่จะเข้าไปแอบส่องว่าที่พนักงานใหม่ในสังกัดที่ตนดูแลอยู่ ความสนุกมันอยู่ตรงนี้แหละค่ะ ใครที่เคยดราม่า ด่าเจ้านาย ขายเพื่อน เชือดเฉือนแฟนไว้เนี่ย มันก็อาจจะหลุดออกมาได้ถ้าเราไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งบางทีมันอาจจะทำให้เกิดความลังเลในการรับคุณเข้าทำงานได้เลยล่ะ
-
เตรียมความพร้อมในตำแหน่ง และบริษัทที่สมัครงาน
เรื่องตำแหน่งงานที่ต้องการสมัครนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากค่ะ ผู้เขียนขอแนะนำว่าคุณต้องศึกษาเป็นอย่างดีเลยนะคะ ว่าคุณจะเลือกตำแหน่งอะไร บริษัทไหน ฐานเงินเดือนที่คุณต้องการเท่าไหร่ วันหยุดเป็นอย่างไร แล้วก็มุ่งเป้าไปในกลุ่มบริษัทที่คุณต้องการได้เลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการทำงานในตำแหน่งธุรการ ไม่ได้มีทักษะพิเศษใดๆ ที่ต้องใช้ในการทำงาน ประสบการณ์ 2-3 ปี แต่คุณเรียกเงินเดือน 30,000 บาท/เดือน มันก็อาจจะเป็นไปได้ยากหน่อย เนื่องจากตำแหน่งธุรการที่ไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษในการทำงาน บริษัทส่วนใหญ่มักจะเลือกรับนักศึกษาจบใหม่ ประสบการณ์การทำงานอาจไม่จำเป็น เพราะสามารถสอนงานกันได้ไม่ยากนัก เงินเดือนสัก 15,000 – 18,000 บาท ก็น่าจะหาคนทำงานได้แล้ว หรือบางที่อาจจะให้น้อยกว่านี้ก็มีนะ เพราะฉะนั้น คุณควรต้องประเมินความสามารถ และประสบการณ์ของคุณ เพื่อเลือกตำแหน่ง ระดับรายได้ และบริษัทเป้าหมายที่เหมาะกับคุณ เมื่อคุณและบริษัทแมทช์กันได้ โอกาสการได้งานก็สูงขึ้นตามไปด้วยค่ะ
-
เตรียมความพร้อมในการรับโทรศัพท์นัดสัมภาษณ์งาน
บ่อยครั้งนะ ที่ผู้เขียนโทรไปนัดสัมภาษณ์กับผู้สมัคร แล้วรับทราบถึงความไม่พร้อมของผู้สมัครได้ในทันที ไม่ว่าจะด้วยจากน้ำเสียงการคุยโทรศัพท์ ภาษาที่ใช้ในการพูดคุย ความชัดเจนในการรับนัดสัมภาษณ์ บางคนมีแฟนสาวมารับสายแทนแล้วทำเสียงเหวี่ยงใส่ HR เมื่อได้ยินเป็นเสียงผู้หญิง บางคนตัดบทสั้นๆ แล้วบอกว่า “ส่งรายละเอียดมาครับ” บางคนน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ไม่มีหางเสียง ไม่น่าฟัง บางคนถามถึงรายได้ก่อนจะถามชื่อบริษัทซะอีก ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่คนเป็น HR ต้งพบเจอกันอยู่บ่อยๆ บอกเลยนะคะว่า การคัดกรองผู้เข้าสัมภาษณ์ในหลายๆ ที่ เกิดจากการพูดคุยทางโทรศัพท์เลยนะ ถ้าคุณอยากได้งานทำจริงๆ คุนต้องหัดพูดจาให้น่าฟังนะคะ หากไม่พร้อม หรือไม่สะดวกที่จะพูดคุยในตอนนั้น (ข้อนี้มักเจอในกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนงาน) ให้ตอบกลับว่า “ตอนนี้ยังไม่สะดวกคุยในรายละเอียดครับ/ค่ะ ขอนุญาตติดต่อกลับนะครับ/คะ” หรือหากเป็นไปได้ระบุช่วงเวลาที่จะติดต่อกลับด้วยจะดีมากเลยค่ะ หรือหากต้องการขอข้อมูลเพิ่มเติม อาจจะบอกว่า “ถ้าผม/ดิฉัน จะขอรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่ทราบว่าสะดวกส่งให้ทาง E-mail ได้ไหมครับ/คะ” แค่นี้เองค่ะ HR (ที่ดี) ทุกคนพร้อมที่จะส่งรายละเอียดเพิ่มเติมให้อยู่แล้ว เพราะ HR ก็อยากได้คนมาทำงานเร็วๆ เช่นกัน แต่ถ้าเจอผู้สมัครพูดจาไม่ดีตั้งแต่ยังไม่ได้รับเข้าทำงาน ก็คงไม่มีอยากรับหรอกค่ะ จริงไหม
-
เตรียมความพร้อมเรื่องการแต่งกาย
เมื่อได้รับการนัดสัมภาษณ์นั้น การพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างคุณกับผู้สัมภาษณ์ย่อมเกิดขึ้น และนี่แหละค่ะจะเป็นประตูสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ผู้เขียนไม่ได้บอกให้คุณต้องแต่งตัวเรียบร้อบเหมือนผ้าพับไว้นะคะ แต่จะแนะนำว่าให้แต่งตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งงที่จะไปสมัคร เหตุการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้วยังทำให้ผู้เขียนจดจำได้ถึงทุกวันนี้ในเรื่องการแต่งตัวไปสัมภาษณ์งาน ตอนนั้นผู้เขียนเพิ่งเรียนจบหมาดๆ มาจากต่างจังหวัด เข้ากรุงเทพเพื่อมาหางานทำ แล้วก็ได้ไปสัมภาษณ์งานที่หนึ่งในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ตอนนั้นจำได้ว่าตื่นเต้นมาก แต่งตัวเรียบร้อยสุดๆ ใส่กระโปรง เสื้อเชิ้ต และมีเสื้อสูททับอีกตัวหนึ่ง แต่งหน้าก็ไม่เป็นด้วยตอนนั้นแต่ก็ปัดแก้ม ทาปากไปเบาๆ สุดท้ายพอได้เข้าไปสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ถามมาประโยคหนึ่งที่แทงใจมาจนทุกวันนี้ “มาสมัครเป็น PR แต่งตัวแต่งหน้าได้แค่นี้หรอ” โอ้ย จุกและจำไปจนตายเลย เล่าซะยาว สรุปสั้นๆ ว่า เวลาไปสมัครงานตำแหน่งไหน ก็ควรให้เข้ากับตำแหน่งนั้นๆ ถ้าสมัครการตลาด ก็ต้องมีความทันสมัย สมัครธุรการสนาม ก็ต้องมีความคล่องตัว สมัครผู้จัดการ ก็ต้องมีความภูมิฐาน หน้าตา ทรงผม ก็อย่าให้มันรกรุงรังนัก ที่สำคัญ เครื่องสำอางที่ดีที่สุดของคนทุกคนก็คือรอยยิ้มนั่นเอง
-
เตรียมความพร้อมเรื่องเส้นทาง
เมื่อรับนัดสัมภาษณ์แล้วขั้นตอนต่อไปก็ต้องศึกษาเส้นทางให้ดีนะคะว่าบริษัทที่เราจะไปอยู่ที่ไหน เดินทางอย่างไร รถติดหรือไม่ ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ ที่สำคัญ สัมภาษณ์ที่สาขาไหน เรื่องนี้ผู้เขียนก็มีประสบการณ์ตรงอีกเช่นเคย ตอนนั้นผู้เขียนทำงาน HR แล้ว ได้มีการนัดสัมภาษณ์ผู้สมัครท่านหนึ่ง ให้มาเข้ารับการสัมภาษณ์ที่โรงงานพระประแดง ซึ่งเทียบได้ว่าเป็นสำนักงานสาขา โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่หลักสี่ ปรากฏว่าผู้เข้ารับการสัมภาษณ์เดินทางไปรอสัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่ เนื่องจากผู้สมัครจำเพียงแต่ชื่อบริษัทเท่านั้น ไม่ได้จำว่าให้ไปที่ไหน สุดท้ายแล้วก็หาแผนที่บริษัทจากทาง Internet ก็เลยไปผิดที่ ทำให้พลาดโอกาสสำหรับการสัมภาษณ์ในครั้งนั้น จำไว้เลยนะคะ สำหรับการนัดสัมภาษณ์งานนั้น เผื่อเวลาสักนิด ไปนั่งรอเค้า ดีกว่าเค้าไม่รอคุณนะคะ
-
เตรียมความพร้อมในการตอบคำถาม
คุณควรเตรียมตัวสำหรับหน้าที่งานที่ต้องทำในตำแหน่งที่คุณสมัคร ไม่ว่าจะถามเพื่อนๆ คนรู้จัก หาข้อมูลจากใน Internet หรือวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ถามจาก HR ที่โทรมานัดสัมภาษณ์เรานั่นแหละค่ะ (ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครถามนะ ไม่รู้ทำไม) จากนั้นคุณก็มาดูว่า งานที่คุณทำมาก่อนนั้น มีอะไรที่เหมือนกัน มีงานไหนที่พอประยุกต์ใช้ด้วยกันได้ หรือมีงานไหนที่ไม่เคยทำมาก่อน ถ้าเป็นข้อหลัง ก็ควรจะศึกษาไปอย่างคร่าวๆ ว่าเค้าทำอะไรยังไงกัน ควรดู Profile ของบริษัทที่เราจะไปสัมภาษณ์ด้วยว่าเป็นอย่างไร หรือคุณอาจจะถาม HR ไปเลยก็ได้ ว่าใครจะเป็นผู้สัมภาษณ์คุณ ข้อนี้อาจจะดูเว่อร์ๆ ไปนิด แต่ถ้าถามได้ คุณก็จะได้รู้แนวทางในการเตรียมตัวมากเลยนะ คุณควรตั้งคำถาม และหาคิดคำตอบ พร้อมกับซักซ้อมด้วยตนเองสัก 2-3 รอบ หรือถ้ามีเพื่อนๆ พี่ๆ หรือคนใกล้ชิด ลองซ้อมกับพวกเขาก่อนก็ได้นะ มันช่วยลดความตื่นเต้นลงได้เยอะเลยแหละ และหากตอบคำถามข้อไหนไม่ได้ ก็ไม่ต้องดันทุรังตอบมั่วๆ นะ (หลายคนมักปล่อยไก่กันตรงนี้แหละ) แนวทางที่จะตอบคำถามที่ไม่รู้ หรืองานที่ไม่เคยทำ ก็เช่นว่า “ผม/ดิฉัน ยังไม่เคยทำงานด้านนี้เลยครับ/ค่ะ เนื่องจากงานเดิมมีการแบ่งหน้าที่ในแต่ละงานค่อนข้างชัดเจน แต่ผม/ดิฉัน ก็มีความสนในด้านอื่นๆ ที่ยังไม่เคยทำ จึงพยายามหาโอกาสที่จะได้ทำงานอื่นๆ อย่างรอบด้านครับ/ค่ะ” เป็นไงล่ะ ดูดีขึ้นมาเลยใช่ไหมคะ
-
เตรียมคำถามสำหรับการปิดท้ายการสัมภาษณ์
การปิดการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มักจบลงที่ “ไม่ทราบว่าผู้สมัครมีคำถามอะไรต้องการสอบถามทางเราบ้างไหมครับ/คะ” ประมาณ 50% มักไม่มีคำถาม และส่วนที่เหลืออีก 25% จะถามเกี่ยวกับรายได้และสวัสดิการ อีก10% ถามถึงผลการสัมภาษณ์ หรือวันประกาศผลสัมภาษณ์ อีก 10% ถามเรื่องเนื้องานที่ต้องทำ และที่เหลืออีก 5% ถามถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การเดินทาง วันเวลาทำงาน ฯลฯ หลายคนคิดว่าคำถามนี้เหมือนเป็นคำถามตามมารยาทเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันมีนัยยะในคำตอบของคุณด้วยนะ เช่น หากคุณไม่มีคำตอบจะหมายความได้ เช่น ความหมาย 1. ตื่นเต้นจนไม่รู้จะถามอะไร 2. ไม่สนใจในงานที่มาสัมภาษณ์ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ ในการสัมภาษณ์ด้วย ซึ่งผู้เขียนแนะนำว่า ควรจะมีการตั้งคำถามไว้ล่วงหน้า เกี่ยวกับเนื้องานที่คุณไปสัมภาษณ์ เพราะมันแสดงถึงความสนอกสนใจในงานนั้นๆ เป็นต้นว่า “ผม/ดิฉัน อยากทราบว่า หากผม/ดิฉัน ได้รับโอกาสได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ ผม/ดิฉัน ต้องเตรียมตัวด้านไหนเป็นพิเศษบ้างครับ/คะ” ส่วนในเรื่องของรายได้ หากให้ผู้เขียนตอบตามความรู้สึกส่วนตัวคิดว่ายังไม่ควรถามค่ะ จนกว่าคุณจะได้รับการติดต่อว่าคุณผ่านการสัมภาษณ์ ค่อยถามถึงจะดีกว่า เพราะมันทำให้ภาพลักษณ์คุณดูดีขึ้นเยอะเลย หากไม่ถูกใจในเงื่อนไขรายได้ก็อาจจะมีการต่อรอง หรือไม่ก็ค่อยปฏิเสธตอนนั้นก็ยังได้ค่ะ
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังหางานอยู่บ้าง ไม่มาก ก็น้อยนะคะ
ถ้าทำได้ทั้งหมดทุกข้อที่กว่ามานี้ ข้อสุดท้าย เตรียมเริ่มงานได้เลยค่ะ
ขอให้ทุกท่านที่กำลังหางานโชคดี
………………………………………………
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่
ช่องทางใหม่ล่าสุด
ให้คุณได้รับข่าวสารสินค้าใหม่และโปรโมชั่นพิเศษก่อนใคร
แอดมาเลย ที่ @pakoeng (อย่าลืมใส่ @ ข้างหน้าด้วยนะ)